
ในยุคปัจจุบัน เริ่มกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วกับการที่เรามักจะเห็นบรรดาทีมยักษ์ใหญ่คว้าแชมป์รายการสำคัญหลากหลายรายการมาครอบครองได้ในทุกๆ ฤดูกาล ช่องว่างของความสำเร็จและยังไม่ประสบความสำเร็จเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ การคว้าแชมป์ในรายการเดียวคงไม่เพียงพอที่เหล่ากุนซือจะการันตีตำแหน่งงานของพวกเขาได้ทำให้ย้อนนึกถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของลีกยุโรป การเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไมได้ที่จะถูกยกย่อง แล้วฤดูกาลไหนบ้างที่ได้รับความเป็นหนึ่งมีความยิ่งใหญ่ที่สุดของช่วงไหนบ้าง วันนี้เราจะพาไปย้อนรอยกันอีกครั้ง
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ฤดูกาล 1960-61
เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019 ยังคงเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขาในยุคปัจจุบัน แต่มันไม่อาจเทียบกับชุดแชมป์ลีกและเอฟเอ คัพในฤดูกาล 1960-61 ได้ สเปอร์ส คว้าแชมป์ 2 รายการดังกล่าวมาได้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทีมของ บิลล์ นิโคลสันคว้าดับเบิลแชมป์มาครองเป็นครั้งแรก และมันยังคงเป็นความสำเร็จครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สโมสร พวกเขาสามารถเอาชนะ 15 เกมจาก 16 นัดฝยดิวิชั่นหนึ่ง โดยพวกเขาจบฤดูกาลด้วยแชมป์ลีกโดยมีคะแนนนำห่างเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ 8 คะแนน และเอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 2-0 ใน เกมเอฟเอ คัพ นัดชิงที่เวมบลีย์ต่อหน้าผู้ชมมากมายกว่า 100, 000 คน
เรอัล มาดริด ฤดูกาล 2016-17
ภายใต้การคุมทีมของ ซีเนดีน ซีดาน เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ 4 ใบเป็นครั้งแรกในสโมสรของเขาเมื่อได้ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2016-17 คว้าแชมป์ซูเปอร์ คัพ เหนือเซบีญาช่วงต้นฤดูกาลก่อนเอาชนะ คาชิมา อันท์เลอร์ส 4-2 ในสโมสรโลกในช่วงสิ้นปีนั้น นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยเฉือนบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ลีกมาครอง แม้ในปีนั้นยอดทีมจากคาตาลัยจะยิงในลีกไปได้ถึง 116 ประตูก็ตาม และหลังจากเขี่ยทั้ง นาโปลี บาเยิร์น มิวนิค และ แอตเลติโก้ ในแชมเปี้ยนส์ ลีก มาดริด เอาชนะยูเวนตุส 4-1 ในรอบชิง สามารถคว้าแชมป์ ULC ในสมัยที่ 3 ใน 4 ปี และเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันด้วย

เปแอสเช ฤดูกาล 2014-15 และ 2015-16
สโมสรปารีส แซงต์ – แชร์กแมง เป็นเพียงสโมสรเดียวที่สามารถคว้าแชมป์ 4 รายการในประเทศได้ในฤดูกาลเดียวและพวกเขาสามารถได้ 2 ครั้งภายใต้การควบคุมทีมของ โลร็องต์ บลองก์ เปแอสเชคว้าแชมป์ ลีกเอิง, คูป เดอ ฟรองซ์, คูป เดอ ลา ลีก และ ทรอเฟเดช็องปียง มาครอง 2 ปีติดต่อกัน โย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช และเอดิสัน คาวานี เป็นสองนักเตะดาวเด่นของพวกเขาในขณะนั้น แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็เคยล้มเหลวบนเวทียุโรปและเป็นจุดด่างพร้อยของพวกเขามานานหลังตกรอบแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ 2 ปีติดต่อกัน อย่างไรก็ตามพวกเขายังไม่สิ้นหวังเพราะหลังจากนั้นพวกเขาได้สร้างสถิติใหม่ได้อีกครั้งในฤดูกาล 2017-18 สามารถเอาชนะแชมป์ 4 รายการในประเทศได้อีกสมัยด้วย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 1998-99
แมนเชสเตอร์ฯคือตำนานคว้ายูฟ่าแชมเปี้ยน ลีก ,พรีเมียร์ลีก , และ เอฟเอ คัพมาครองในฤดูกาล 1998-99 เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักทีมดังในตำนานอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทีมนี้แน่นอน พวกเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นที่น่าภาคภูมิใจของทีมนักเตะเองและแฟนบอลมากที่สุดในฤดูกาล แต่ใช่ว่าเขามีเส้นทางที่ราบเรียบเสมอไปเพราะต่อมายูไนเต็ดได้พบกับเส้นทางลำบากในฟุตบอลถ้วย หลังต้องเอาชนะทั้งลิเวอร์พูล, เชลซีและอาร์เซนอลเพื่อเดินทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ก่อนได้เท็ดดี้ เชอริงแฮม และพอล สโคลส์ ทำคนละประตูช่วยให้ทีเอาชนะ นิวคาสเซิล 2-0 สามารถคว้าแชมป์ เอฟ เอ คัพ มาครอง และต่อมาในจุดสูงที่สุดของพวกเขาในเส้นทางฟุตบอลยุโรปหลังต้องเจอกับ บาร์เซโลนา บาเยิร์น มิวนิก อินเตอร์ มิลาน และยูเวนตุส ในรอบนัดชิงที่ตชคัมป์ นู โดยเป็น เชอริงแฮม และโอเล กุนนาร์ โซชา ทำประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บใส่บาเยิร์น พาทีมคว้าแชมป์ด้วยการคัมแบ็คกลับมาโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเลยทีเดียว

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฤดูกาล 2018-19
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่เก็บแต้มได้ถึง 100 คะแนนในพรีเมียร์ลีกซึ่งพวกเขาครองความเป็นใหญ่ในประเทศได้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ต้องบอกเลยว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ทุกอย่างในประเทศมาแล้วไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก เอฟเอ คัพ ลีก คัพ และคอมมูนิตี้ ชิงลด์ โดยชัยชนะ 6-0 เหนือวัติฟอร์ดในเกมเอฟเอ คัพ นัดชิงถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก และความสำเร็จในถ้วยแชมเปี้ยน ลีก ถือเป็นจุดบอดที่แมนฯ ซิตี้ยังคงต้องออกตามหาหลังแพ้ให้กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ แต่การสร้างผลงานในการก้าวไปในทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษ ด้วยการชนะ 14 นัดรวด จนจบฤดูกาลทำให้พวกเขานั้นคว้าแชมป์ลีกอยู่เหนือลิเวอร์พูลขึ้นมาได้สำเร็จ
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ฤดูกาล 2011-12
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา คือการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 1996-97 แต่การคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในประเทศในฤดูกาล 2011-12 ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งใหญ่ในการครองความยิ่งใหญ่ในประเทศ แม้ในจุดเริ่มต้นของพวกเขานั้นจะดูไม่สวย หลังพวกเขานั้นแพ้จุดโทษในเดเอฟ-ซูเปอร์คัพ ต่อคู่ปรับร่วมเมืองอย่างชาลเก้ 04 และเก็บได้เพียง 7 คะแนนจาก 6 นัดแรกในบุนเดสลีกา แต่หลังจากความพ่ายแพ้ต่อฮันโนเวอร์ พวกเขาก็ไม่แพ้เกมไหนในประเทศอีกเลย
ลิเวอร์พูล ฤดูกาล 1983-84
ฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของลิเวอร์พูลเกิดขึ้นในปีเดียวกันกับปีแรกหลังการรีไทร์ของ บ็อบ เพสลีย์ โดยเป็น โจแกน ที่รับช่วงต่อและพาทีมคว้าแชมป์ 3 รายการและเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัยภายใต้การควบคุมทีมของ เพสลีย์ ก่อนที่จะคว้าแชมป์ได้อีกสมัยหลังเอาชนะโรมาในการดวลจุดโทษได้สำเร็จ

การแข่งขันยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกเริ่มมีความเข้มข้นและน่าติดตามมากขึ้น ถึงแม้จะยังอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์ของโรคโควิด19 หลังจากหยุดการแข่งขันไปพักใหญ่ๆ จากสถานการณ์นี้ ฟุตบอลทั่วโลกก็ต่างทยอยกลับมาเริ่มการแข่งขันกันอีกครั้งโดยเป็นการจัดการแข่งขันรูปแบบใหม่ วิถีใหม่อย่าง New Normal ภายใต้มาตรการความปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เหล่าแฟนบอลได้กลับมาติดตามรับชมและสัมผัสบรรยากาศการเชียร์การแข่งขันฟุตบอลรายการใหญ่ๆ อีกครั้ง ถึงแม้อาจจะไม่ได้เข้าไปติดตามเชียร์ชิดติดขอบสนามเหมือนเมื่อก่อนแต่แค่ได้ชมการถ่ายทอดสดอยู่ที่บ้านก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว
More Stories
“โบนัส สโบเบ็ต” คืออะไร มาทำความรู้จักกัน
บ่อนปรับราคาอีกรอ ซีดาน คุมแมนยู
คอนเฟิร์ม! 10 ชาติยุโรปได้ ตั๋วลุยบอลโลก