
ฟุตบอลยุโรป คือ กีฬาที่มีมาเนิ่นนาน โดยฟุตบอลยุโรปนั้นล้วนมีสุดยอดทีมในตำนานมากมายอีกทั้งยังมีบรรดานักเตะชั้นนำต่างพร้อมโชว์ฝีเท้าเต็มที่ให้กับทีมในดวงใจของใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็น คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ชาติฝรั่งเศส ,เควิน เดอ บรอยน์ ชาติเบลเยียม ,โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ชาติโปแลนด์ ,คริสเตียโน โรนัลโด้ ชาติโปรตุเกส ,โยซัว คิมมิช ชาติเยอรมัน และแฮร์รี เคน ชาติอังกฤษ จึงไม่แปลกหากกีฬาฟุตบอลยุโรปจะได้รับความนิยมและมีผู้คนให้ความสนใจ ติดตามกันทั่วโลกส่งผลทำให้เกิดบริษัทชั้นนำมากมายพากันทุ่มเงินสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลยูโรกันมากขึ้น
ที่มาของฟุตบอลยุโรป
ฟุตบอลยุโรป หรือที่นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า ฟุตบอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่มีความสำคัญมากที่สุดในทีมชาติของทวีปยุโรป ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปี จัดโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ห่างจากการแข่งขันฟุตบอลโลกของฟีฟ่า 2 ปี เริ่มการแข่งขันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ในชื่อรายการว่า ยูโรเปียนเนชันส์คัพ (European Nations Cup) ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดของ อ็องรี เดอโลแน เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสอยู่ในการดูแลของ European Football Association หรือ ยูฟ่า (UEFA) ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1954 ทั้งนี้การแข่งขัน 5 ครั้งแรกมีทีมชาติที่เข้าร่วมการแข่งขัน รอบสุดท้ายเพียง 4 ประเทศเท่านั้น และต่อมาในปี ค.ศ. 1968 ได้เปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็นยูโรเปียนฟุตบอลแชมป์เปียนชิพ ต่อมาปี ค.ศ.1980 มีทีมชาติเข้าแข่งขันเพิ่มเป็นอีก 8 ประเทศ ปี ค.ศ.1996 เพิ่มเป็นอีก 16 ประเทศ และ ค.ศ. 2016 มีทีมชาติเข้าร่วมถึง 24 ประเทศแบ่งออกเป็น 19 ทีม แบ่งกลุ่มออกมาเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม รอบแพ้คัดออกจะมีด้วยกัน 3 รอบ การแข่งขันครั้งล่าสุด เมื่อปี พ.ศ.2564 หรือ ค.ศ.2021 ได้มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร ครั้งที่ 16 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการจัดการแข่งขันแบบทัวร์ 13 เมืองทั่วยุโรป เป็นการจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการแข่งขันครบ 60 ปี โดยฟุตบอลยูโรนั้นได้มีการจัดการแข่งขันมาแล้วถึง 15 ครั้งเริ่มตั้งแต่ปี 1960 และชาติที่ได้แชมป์มากที่สุดคือ เยอรมนีและสเปน รองลงมาคือ ฝรั่งเศสเป็นแชมป์ยูโร 2 สมัย อิตาลี โปรตุเกส เกนมาร์กกรีซ สหภาพโซเวียด สาธารณรัฐเช็ก คือชาติที่ได้แชมป์ 1 สมัย ส่วนชาติที่ไม่เคยได้แชมป์เลยคือ เบลเยียมและยูโกสลาเวีย

5 ลีกใหญ่ในยุโรป
พรีเมียร์ลีก
ลีกหรือการแข่งขันฟุตบอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกเพราะอังกฤษเป็นประเทศแรกของโลกที่มีการจัดตั้งการแข่งขันฟุตบอลในระบบลีกขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นต้นฉบับของลีกที่ทั่วโลกนำมาใช้กัน อีกทั้งยังมีสโมสรดังๆที่อยู่ลีกอังกฤษ เช่น ลิเวอร์พลู เชลซี และแมนยู พรีเมียร์ลีกเป็นลีกกีฬาที่มีผู้ชมให้ความสนใจและเข้าร่วมชมการถ่ายทอดสดใน 212 ดินแดน ไปยังบ้าน 643 ล้านหลังและคาดว่าจะมีผู้ชมชมผ่านโทรทัศน์กว่า 4.7 พันล้านคนเลยทีเดียว รูปแบบการแข่งขันของพรีเมียร์ลีกคือ มีสโมสรร่วมการแข่งขันในพรีเมียร์ลีก 20 ทีม ในช่วงระหว่างฤดูกาลแต่ละทีมจะพบกันหมดแบบเหย้าและเยือน ทีมชนะได้ 3 คะแนน ทีมเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนน ตลอดฤดูกาลทุกทีมต้องแข่งกันทั้งสิ้น 38 นัด โดยจัดอันดับเรียงจากคะแนน ผลประตูได้เสียและผลประตูรวม หากทีมยังคงคะแนนเท่ากันจะถือว่าครองตำแหน่งเดียวกันหากเสมอกันในการตกชั้นสู่การแข่งขันลีกแชมป์เปียนชิปหรือคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่นๆ

ลาลีกา ลีก
ปริเมราดิบิชิออน หรือที่ทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ ลาลีกา สเปน โดยฟุตบอลลาลีกาเป็นระบบการแข่งขันฟุตบอลในลีกสูงสุดของประเทศสเปน เรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นอีกประเทศหนึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นลีกที่มีการแข่งขันดุเดือดเท่าพรีเมียร์ลีก เซเรียอาและบุนเดสลีกา เลยทีเดียว ลาลิกาเป็นหนึ่งในลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดที่ในโลก โดยมีผู้เข้าชมในสนามเฉลี่ย 26,933 คน ในฤดูกาล 2018-2019 อีกทั้งยังเป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอันดับ 8 ของโลกและเป็นอันดับ 3 ในลีกฟุตบอลอาชีพทั่วโลกตามหลังบุนเดสลิกาและพรีเมียร์ลีก ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในลีก บิกไฟว์ ของยุโรปเลยทีเดียว รูปแบบการแข่งขันโดยลีลากาจะเริ่มแข่งขันในเดือนกันยายนไปจนถึงเมษายนของทุกปี ทีมชนะเลิศจะได้รับสิทธิการแข่งขันฟุตบอลถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปาญา ทีมที่อันดับดีที่สุด 4 อันดับจะได้ไปเล่นในฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีก ที่ 1 2 3 และ 4 ส่วนอันดับที่ 5 จะได้ไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรป ยูฟ่ายูโรปาลีก และ อันดับที่ 6 จะได้ไปเล่นในรอบคัดเลือกฟุตบอลยูฟ่ายูโรปาลีก

เซเรียอา ลีก
กัลโชเซเรียอา อิตาเลียนฟุตบอลแชมป์เปียนชิป เป็นชื่อของลีกฟุตบอลสูงสุดของประเทศอิตาลี ซึ่งมีหลายทีมจากหลายๆ เมืองเข้าร่วมการแข่งขันโดย เจนัวเป็นสโมสรแรกที่ที่สามารถคว้าแชมป์ สกูเดตโตได้ โดยขณะที่ความยิ่งใหญ่คือ ยูเวนตุสที่สามารถคว้าแชมป์ถ้วยนี้ไปได้ถึง 35 สมัยเลยทีเดียว ซึ่งสโมสรที่คว้าแชมป์ได้ทุกๆ 10 สมัยจะได้รับสัญลักษณ์ดาวสีทองติดอยู่ด้านบนของสัญลักษณ์ทีม 1 ดวง ปัจจุบัน ยูเวนตุสมีมากสุดถึง 3 ดวงติดอยู่บนเสื้อสโมสร รูปแบบการแข่งขันคือ 3 ทีมที่อยู่ในอันดับสุดท้ายจะต้องตกชั้นจากเซเรียอาไปลงเล่นในเซเรียบี (อันดับ 18 19 และ 20 ตกชั้น ) และ 3 ทีมจากเซเรียบีจะได้ขึ้นมาเล่นในเซเรียอา (อันดับที่ 1 แชมป์เซเรียบี 2 และ3 เลื่อนขั้น) ส่วน 4 ทีมที่อันดับคะแนนดีที่สุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมป์เปียนลีก โดยที่ทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอในรอบแบ่งกลุ่มได้เลย ส่วนอันดับที่ 5 จะได้ไปในศึกยูโรปาลีก

บุนเดสลีกา ลีก
บุนเดสลีกา เป็นระบบการแข่งขันฟุตบอลสูงสุดของประเทศเยอรมนี เริ่มก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1963 อยู่ภายใต้การบริหารของสมาคมฟุตบอลเยอรมัน แบ่งออกเป็น 2 ลีก คือ ลีก 1 หรือรู้จักกันในชื่อ บุนเดสลีกา และชไวเทอบุนเดสลีกา แยกออกมาจากลีก 1 ในปี 1974 ซึ่งถือว่าเป็นลีกฟุตบอลอาชีพ เป็นลีกที่มีความโดดเด่นในเรื่องของแฟนบอลที่แน่นขนัดทุกที่นั่งในทุกเกมการแข่งขันจนเป็นลีกฟุตบอลที่มีค่าเฉลี่ยผู้ชมสูงที่สุดในโลก รูปแบบการแข่งขันเมื่อจบฤดูกาล 2 ทีมอันดับสุดท้ายจะตกชั้นลงไปเล่นในลีก 2 (อันดับที่ 17 และ 18 ) ส่วนทีมที่ได้ที่ 1 และ 2 จากลีก 2 จะทำการเลื่อนขั้นมาเล่นในบุนเดสลีกา (แชมป์ลีก 2 และรองแชมป์) ส่วนอันดับที่ 16 จะต้องไปเล่นในรอบเพย์ออฟกับที่ 3 ของลีก 2 เพื่อหาอีก 1 ทีมขึ้นมาเล่นในบุนเดสลีกา ส่วน 4 อันดับแรก ( อันดับ 1 2 3 และ 4) จะได้เข้าไปเล่นในถ้วยยูฟ่าแชมป์เปียนลีก และอันดับที่ 5 จะได้ไปเล่นในฟุตบอลถ้วยยูฟ่ายูโรปาลีก และ อันดับที่ 6 จะได้ไปเล่นในรอบเพย์ออฟฟุตบอลด้วย ยูฟ่า ยูโรปาลีก

ลีกเอิง
ลีกเอิง เป็นลีกฟุตบอลสูงสุดของฟุตบอลในประเทศฝรั่งเศส โดยมีลีกรองลงมาคือ ลีกเดอ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 โดยมีการเล่นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันยกเว้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อดีตจำนวนทีมที่เล่นในลีกเอิงจะเปลี่ยนไปมาระหว่าง 18 และ 20 ทีม ปัจจุบันจะมีทีมทั้งหมด 20 ทีม แข่งกันแบบเหย้าและเยือนทั้งหมดทีมละ 38 นัด รูปแบบการแข่งขัน โดยเมื่อจบ 2 อันดับสุดท้ายของตารางจะตกชั้นลงไปเล่นในลีกเดอ (อันดับ 18 และ 19 ) และอันดับที่ 1 และ 2 จากลีกเดอจะเลื่อนขั้นขึ้นมา (แชมป์ลีกเดอและรองแชมป์) ส่วนที่ 3 ทีมที่อันดับดีที่สุดจะได้ไปเล่นในฟุตบอลยูโรป ยูฟ่าแชมป์เปียนลีก โดยสองทีมอันดับแรกจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มทันที ส่วนอันดับที่ 3 จะต้องไปเล่นในรอบเพย์ออฟ ส่วนอันดับที่ 4 จะมีสิทธิเข้าไปเล่นในฟุตบอลยุโรปถ้วย ยูฟ่ายูโรปาลีก
น่าจับตามองรวมพลนักแข้งดาวรุ่งฟุตบอลยุโรป ในฤดูกาล 2021/22
บุนเดสลีกา นอกจากจะเป็นบ้านของผู้เล่นระดับซุเปอร์สตาร์จำนวนมากแล้ว พวกเขายังปลุกปั้นเยาวชนฝีเท้าดีๆ ออกมาสู่วงการฟุตบอลอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย หลายๆ คนอาจได้รู้จักกับ จามาล มูเซียลา ของบาเยิร์น มิวนิค และ จิโอวานนี เรย์นา จาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว หลังจากที่พวกแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากการโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมาย และแน่นอนว่า มันไม่ได้หยุดอยู่แค่พวกเขาเหล่านั้นที่ได้แจ้งเกิดไปแล้ว แต่ยังมีดาวรุ่งอีกมากมายที่กำลังฉายแววความมีของดีให้เห็นอยู่ในตัวของนักแข้งเมื่อฤดูกาลก่อนหน้า และมันมีโอกาสไม่น้อยเลยที่พวกเขาจะเจริญรอยตาม มูเซียลา หรือ เรย์นา ในอนาคตอันใกล้นี้
1. ฟลอเรียน เวิร์ตซ์
ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ หรือชื่อเต็มๆ คือ ฟลอเรียน ริชาร์ด เวิร์ตซ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ปี 2003 ที่พูลไฮม์ ในประเทศเยอรมัน ประจำตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวรุก สังกัด อยู่ที่ห้างขายยา ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น สวมเสื้อเบอร์ 27 อันที่จริงหากจะบอกว่าดาวรุ่งจากสังกัด ไบเออร์ เวเวอร์คูเซ่น รายนี้ได้แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวแล้ว คงจะไม่ผิดออะไร เพราะเขานั้นสามารถทำประตูไปแล้วถึง 5 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์เมื่อฤดูกาลที่แล้วก่อนอายุ 18 ปี ด้วยซ้ำ เขามีทักษะการขับเคลื่อนที่ดี เลี้ยงบอลติดเท้าและโดดเด่นมากเรื่องการลากบอลและกระชากผ่านด่านคู่แข่ง เพราะนี่คือนักเตะอีกคนที่มีความรวดเร็วคล่องตัว ตลอดจนลูกยิงไกลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เขานั้นทำได้ดีเช่นกัน
2. เออร์ลิง ฮาแลนด์
เออร์ลิง ฮาแลนด์ หรือชื่อเต็มๆ ของเขาคือ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ปี 2000 เป็นนักฟุตบอลชาวนอร์เวย์ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าให้กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์และทีมชาตินอร์เวย์ เขาเป็นผู้เล่นที่ถนัดในด้านการทำประตูอย่างมากอีกทั้งยังได้รับการยกย่องในด้านฝีเท้า การวิ่ง ความแข็งแรง และทิศทางการจ่ายบอลจนเป็นที่หนึ่งในนักฟุตบอลดาวรุ่งที่ดีที่สุดในโลก หลายๆ คนบอกว่าเขาคือโคลนนิ่งของซลาตัน อิบราฮิโมวิช แข้งดาวรุ่งที่เยือร์เก้นคล็อปป์ถึงกับเอ่ยปากยกย่อง เขาทั้งคู่มีสัญชาตญานในการทำประตูที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน ส่วนสูง รูปร่างและความมั่นใจมันช่างคล้ายกับโคลนออกมาจากซลาตันเลยทีเดียว
3. ลูก้า เน็ตซ์
แบ็คซ้ายวัย 18 ปี ลงเล่นรวม 11 นัดให้กับ แฮร์ธา เบอร์ลิน ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2020/21 และผลงานของเขานั้นก็ไปต้องตา มึนเชนกลัดบัค จนอดรนทนไม่ไหวต้องรีบคว้าตัวมาร่วมทีมในทันที อาดิ ฮุตเตอร์ มีประวัติที่ดีเดี่ยวกับการให้โอกาสผู้เล่นรุ่นเยาว์ตลอดช่วงที่ทำงานอยู่ในออสเตรีย , สวิตเซอร์แลนด์และล่าสุดกับไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ดังนั้นมันคงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วสำหรับ เน็ตซ์ หากเขาต้องการพัฒนาตัวเองต่อไปจนก้าวไปอยู่ในระดับสูงสุด
4. ต็องกี เนียนซู
หรือชื่อเต็มเขาคือ ต็องกี โอสตีน เนียนซู กัวซี เขาเกิดวันที่ 7 มิถุนายน ปี 2002 เป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กให้กับบาเยิร์น มิวนิค สโมสร บุนเดิสลีกา เขาย้ายมาจาก PSG ในเดือนกรกฎาคม 2020 และได้ลงสนามไปแล้ว 6 เกม ก่อนที่จะต้องพักไปเพราะมีปัญหากับอาการบาดเจ็บ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะยังดูไม่พร้อมขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมในตอนนี้ แต่จากหน่วยก้านและความมั่นใจเกินวัยของเนียนซู คงจะอีกไม่นานเกินรอที่เขาจะได้ออกมาเฉิดฉายสู่สนามเป็นแน่
5. ยูซูฟา มูโกโก้
กองหน้าเชื้อสายแคเมอรูน มูโกโก สร้างสถิติกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นและยิงประตูได้ในบุนเดสลีกา ด้วยวัยเพียงแค่ 16 ปี เท่านั้น หลังได้โอกาสขึ้นมาชิมลางกับทีมชุดใหญ่ หลังจากทำประตูไป 137 ประตู จากการลงเล่น 81 นัดให้กับ ดอร์ทมุนด์ รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี มูโกโก ก็พร้อมที่จะก้าวขึ้นสู่ฟุตบอลระดับอาชีพอย่างเต็มตัวแล้วแน่นอน และไม่แน่หาก ฮาแลนด์จะต้องย้ายออกไปจริงๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ มาร์โก โรเซก็คงไม่ต้องมองหานักเตะมาแทนที่ เพราะเขามีนักเตะที่เป็นผู้เล่นที่มีพรสวรรค์อยู่ในทีมอยู่แล้วนั่นเอง
6. ยอสโก กวาร์ดิโอล
อีกหนึ่งดาวรุ่งเนื้อหอมที่ไลป์ซิก คว้าตัวมาร่วมทีมได้อีกราย เขาใช้เวลาตลอดทั้งฤดูกาลที่แล้วกับดินาโม ซาเกร็บ แบบยืมตัวและมีโอกาสได้ลงเล่นทีมชาติ โครเอเชีย ในยูโร 2020 อีกด้วย แข้งวัย 19 ปีที่สามารถเล่นได้ทั้งในตำแหน่งแบ็คซ้ายและเซ็นเตอร์แบ็ค จะเป็นกำลังหลักสำคัญของทีมได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องเสียสองตัวหลักอย่าง โคนาเต้ และ อูปาเมกาโน ไปในฤดูกาลเดียวกัน
ฟุตบอลยุโรปคือแหล่งของนักแข้งดาวรุ่งที่คับคั่งไปด้วยผู้เล่นที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงมากมายจากหลากหลายลีกทั่วทั้งทวีป และเชื่อได้เลยว่าแต่ละคนต่างก็พยายามกันอย่างเต็มที่เพื่อนำความสำเร็จมาสู่ชาติและตัวเองกันด้วยทั้งนั้น ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าหนึ่งในรายชื่อที่ได้นำเสนอไปนั้นจะกลายเป็นนักแข้งดาวรุ่งที่ไปได้ไกลที่สุดแค่ไหน

ถ้วยต่างๆ ในทวีปยุโรป (จุดมุ่งหมายสูงสุดของกีฬาฟุตบอล)
ถ้วยยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก
ต้นกำเนิดของถ้วยยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อทีม Real Madrid ราชันชุดขาวได้ถ้วยยูฟ่าของจริงไปครองในปี ค.ศ. 1967 ฮันส์ แบนเกอร์เตอร์ร่วมกับยุร์ก สตาเดลมันน์ช่างเครื่องเงินที่มีฝีมือจึงได้ทำการออกแบบถ้วยใหม่ที่มีความทันสมัยและสวยงามมากกว่าเดิม โดยใช้เวลาออกแบบทั้งหมด 340 ชั่วโมง ถ้วยมีความสูง 73.5 เซนตีเมตร น้ำหนัก 8.5 กิโลกรัม ครั้งก่อนถ้วยยูฟ่าแชมป์เปียนลีกนั้นจะมอบให้กับสโมสรที่สามารถคว้าแชมป์ได้ 3 สมัยติดต่อกันหรือได้แชมป์เกิน 5 ครั้งขึ้นไปจะได้รับถ้วยรางวัลไปเป็นกรรมสิทธิ์ของสโมสรเช่นเดียวกับถ้วยรางวัลอื่นๆของยูฟ่า แต่ต่อมาก็ได้มีการยกเลิกกฎมอบถ้วยจริงออกไปโดยจะมอบถ้วยจำลองซึ่งมีความเหมือนและขนาดเทียบของจริงให้แทน และทีมที่ได้แชมป์ 3 ครั้งติดหรือได้แชมป์มากกว่า 5 สมัยขึ้นไป ยูฟ่าจะมอบตราพิเศษที่แสดงถึงความเป็นสุดยอดแชมป์ให้แทน
ถ้วยยูโรปา ลีก
ถ้วยยูโรปา ลีก จะมีลักษณะของถ้วยที่ไม่มีหูจับยื่นออกมา มีความสูง 65 เซนติเมตร กว้าง 33 เซนติเมตร และมีความลึก 23 เซนติเมตร ปากถ้วยจะมีรูปทรงแปดเหลี่ยม โรงงานที่เป็นผู้สร้างถ้วยคือแบร์โตนี่ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี สถานที่เก็บคือยูฟ่า ซึ่งถ้วยยูโรปา ลีก จะมอบให้กับทีมที่ได้แชมป์ 3 สมัยติดหรือได้แชมป์รายการนี้มากกว่า 5 สมัยขึ้นไป โดยจะไม่ได้มีการมอบถ้วยจริงให้กับแชมป์แต่จะมอบถ้วยแบบจำลองที่มีความเหมือนและขนาดจริงให้แทน เช่นเดียวกับถ้วยยูฟ่า แชมป์เปียนลีก ทีมที่เคยคว้าถ้วยยูโรปา ลีกไปได้คือ ยูเวนตุส ลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูล อินเตอร์ มิลาน และ เชลซี

ถ้วยพรีเมียร์ ลีก
ถ้วยพรีเมียร์ ลีก ถ้วยแชมป์ที่เหล่าแฟนบอลบ้านเรานั้นมีความคุ้นเคยกันมากที่สุด โดยถ้วยแชมป์พรีเมียร์ ลีกในปัจจุบันนั้นผลิตโดยบริษัท การ์ราร์ด แอนโค จำกัด เป็นบริษัทรับทำจิวเวอรี่และเครื่องเงินชื่อดัง ตัวถ้วยทำขึ้นจากเงินแท้ มีมงกุฎหล่อด้วยเงินชุบ 24 กะรัต ฐานทำมาจากมาลาไคต์ซึ่งเป็นอัญมณีสีเขียว มีน้ำหนักโดยรวม 15 กิโลกรัม ถ้วยหนัก 10 กิโลกรัม ความสูง 76 เซนติเมตร มีลักษณะเด่นคือมีสิงโต 2 ตัวอยู่ที่หูจับ ซึ่งแสดงถึง “ทรี ไลออนส์” เป็นตราแผนดินของประเทศอังกฤษนั่นเอง โดยสิงโตตัวที่ 3 นั้น คือ กัปตันของทีมแชมป์ในแต่ละปีที่จะชูถ้วยเหนือศีรษะเพื่อประกาศความเป็นหนึ่งของพรีเมียร์ ลีกในฤดูกาลนั้นๆ
ถ้วยบุนเดสลีกา
ถ้วยหรือถาดบุนเดสลีกา แชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์ของสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน (เดเอฟเบ) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้คนมักเรียกถาดแชมป์เพราะดูจากรูปร่างแล้วมันคือจานสลัดดีๆ นั่นเอง ถาดแชมป์ใบนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1949 ขึ้นแทนถ้วย “วิคตอเรีย” ซึ่งหายสาบสูญไปแล้วเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับถาดต้นแบบนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เซนติเมตร ค่าวัสดุต่างๆที่นำมาประกอบถาดแชมป์ใบนี้อยู่ที่ราวๆ 9,000 ยูโร โดยถาดแชมป์ดั้งเดิมนั้นจะทำมาจากแร่เงินหรือเรียกอีกอย่างว่า สเตอลิงซิลเวอร์ มีโลหะผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซ็นต์และมีอัญมณีทัวร์มาลีนสีเขียวขนาดใหญ่-เล็ก 16 เม็ด รวมทั้งหมด 175 กะรัตประดับไว้ตัวถาด อีกทั้งยังมีการสลักชื่อทีมที่ได้แชมป์ลีกตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อปี 1903 ไว้ที่บนตัวถาดอีกด้วย ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะหลังจากนั้นได้มีการเพิ่มขนาดขอบถาดอีก 45 มิลลิเมตร และนำอัญมณีทัวร์มาลีนมาประดับเพิ่มอีก 5 เม็ดเพื่อที่จะได้สลักชื่อทีมแชมป์แต่ละปีได้มากขึ้น ทำให้สามารถสลักชื่อแชมป์บุนเดสลีกาไปได้อีก 30 ปีจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว

ถ้วยเอฟเอ คัพ
ฟุตบอลถ้วยรายการที่นับว่าเก่าแก่มากที่สุดในโลก รูปลักษณ์ของถ้วยที่เรามักเห็นในปัจจุบันถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1911 โดยก่อนหน้านั้นทางเอฟเอพบว่าดีไซน์ของถ้วยนั้นถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้ ลอร์ด คินนาร์ด ประธานเอฟเอ เชิญบริษัททำเครื่องเงินจากหลายแห่งมาช่วยออกแบบถ้วยใบใหม่ขึ้น และเป็นบริษัทแฟตทอรินี่ แอนด์ ซันส์ จำกัด จากแบร็ดฟอร์ด ที่เป็นฝ่ายชนะเลิศการออกแบบและได้รับการยอมรับจากเอฟเอ โดยตัวถ้วยนั้นสูง 19 นิ้ว ไม่นับฐานรองมีน้ำหนักราว 5 กิโลกรัม ทีมแรกที่ได้ชูถ้วยแชมป์ใบใหม่เป็นทีมแรกคือแบร็ดฟอร์ด ซิตี้ ทีมจากเมืองเดียวกันกับบริษัทออกแบบถ้วยในครั้งนี้ด้วย มีการใช้งานมาถึง 80 ปีก่อนจะเปลี่ยนก่อนจะมาใช้ถ้วยแชมป์ใบปัจจุบันตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมา
การแข่งขันฟุตบอลไม่ว่าจะเป็นรายการยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก นับเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากเหล่าแฟนบอลทั่วโลก ไม่แพ้ฟุตบอลลีกสูงสุดของแต่ละประเทศในยุโรปเลย เพราะมันคือรวมนำเอาทีมระดับหัวกะทิของแต่ละประเทศมาฟาดแข้งกันอย่างสมศักดิ์ศรีเพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว และยิ่งไปกว่านั้นมันคือการพิสูจน์ให้แฟนบอลทั่วโลกได้รู้ว่า พวกเขานั้นคือยอดทีมที่เจ๋งที่สุดในยุโรปเวลานั้น ไม่แปลกใจเลยว่าการแข่งขันฟุตบอลยุโรปมักจะได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมในระดับโลกมายาวนานจนถึงปัจจุบัน

บัลลงดอร์ รางวัลเกียรติยศที่นักเตะหลายๆ คนอยากไขว่คว้า
บัลลงดอร์ หรือ รางวัลลูกบอลทองคำสำหรับนักเตะผลงานยอดเยี่ยมที่ดีที่สุดแห่งปีของฟีฟ่า เป็นรางวัลที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลาย เพราะหากนักเตะคนใดที่ได้รางวัลนี้นั่นคือนักเตะที่เก่งที่สุดในเวลานั้น ๆ
รางวัลบัลลงดอร์มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1956 จากความคิดของบาเบรียล อาไนต์ ผู้สื่อข่าวกีฬานิตยสาร ฟรองซ์ ฟุตบอล ซึ่งเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมอีกทั้งยังมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในเวลานั้นอีกด้วย โดยอาโนต์ได้เชิญชวนให้นักข่าวทั่วทวีปยุโรปมาร่วมลงคะแนนเลือกนักเตะยุโรปยอดเยี่ยมประจำปีและมอบรางวัลเป็นลูกบอลทองคำซึ่งกลายมาเป็นรางวัลที่ได้รับการเอ่ยถึงกันมากที่สุด นับตั้งแต่นั้นมา ฟรองซ์ ฟุตบอลก็ยังมีการจัดรางวัลบัลลงดอร์มาตลอดทุกปี จนกระทั่งมาเปลี่ยนกฎจากมอบให้นักเตะสัญชาติยุโรปมาเป็นนักเตะทุกสัญชาติที่เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลสังกัดยูฟ่าหรือยุโรปทั้งหมดจึงจะมีสิทธิ์ได้รับรางวัล ในปี 2007 บัลลงเดอร์เคยรวมเป็นรางวัลเดียวกับฟีฟ่า ระหว่างปี 2010-2015 ภายใต้ชื่อ ฟีฟ่า บัลลงดอร์ ส่วนการลงคะแนนนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ผลโหวตจากนักข่าวและผลโหวตจากกัปตันทีมชาติและโค้ช(เดิมของบัลลงดอร์) ก่อนกลับมาแยกเป็นบัลลงดอร์และอีกรางวัลของฟีฟ่าจนถึงทุกวันนี้
นักเตะคนไหนได้รางวัล ลูกบอลทองคำมากที่สุด
เมื่อก่อนเป็นยุคของดูโอโพลีหรือผูกขาดกัน 2 คน คือ ลิโอเนล เมสซี่ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งผลัดกันรับรางวัลไปมาคนละ 5 สมัยกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสูงสุดเหนือบรรดานักเตะทุกคนแล้ว หลังจากนั้นนักเตะที่ได้บัลลงดอร์รองลงมาคือ มิเชล พลาตินี่,โยฮัน ครอยฟ์ และมาร์โก ฟาน บาสเท่น ซึ่งแต่ละคนนั้นจะได้อยู่ที่ 3 สมัยเท่ากันแต่เป็นคนละช่วงเวลา ส่วนนักเตะที่เคยได้บัลลงดอร์ 2 สมัยได้แก่ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาออร์ , โรนัลโด้ , อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ ,เควิน คีแกน และ คาร์ล ไฮน์ซ รุมมินิกเก
ด้วยการทำงานอันหนักหน่วงมาตลอดทั้งฤดูกาลจึงต้องมีรางวัลต่างตอบแทนทางจิตใจให้กับนักฟุตบอลบ้าง อย่างรางวัล บัลลงดอร์ ถือว่าเป็นรางวัลที่ให้เกียรติ เชิดชู และยกย่องนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี และยังเป็นรางวัลที่ทำให้นักแข่งดาวรุ่งดวงใหม่ที่มีการพัฒนาได้มีโอกาสคว้ารางวัลนี้ไปเพื่อเป็นกำลังใจกับการก้าวต่อไปในวงการลูกหนังอย่างมีคุณภาพอีกด้วย