
ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือ “ยูโร” ได้เริ่มต้นฟาดแข้งให้กับแฟนฟุตบอลทั่วโลกได้ติดตามกันตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา โดยเดิมทีฟุตบอลยูโร 2020 นี้ควรจะจัดขั้นตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ของโรคระบาดไวรัสโควิด19 ได้ทำให้ทางด้านยูฟ่าไม่มีทางเลือกอื่นและเป็นการป้องกันโรคระบาดดังกล่าวจึงจำเป็นต้องเลื่อนการแข่งขันออกมาอีก 1 ปี เพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่ตึงเครียดของลีกฟุตบอลทุกประเทศในยุโรปที่ประสบปัญหาไม่สามารถแข่งขันได้เหมือนกันหมด
โดยการเลื่อนการแข่งขันทำให้แผนที่วางไว้ว่าจะทำการฉลองครบวาระครบรอบ 60 ปีของฟุตบอลยูโรที่เริ่มต้นแข่งครั้งแรกมาตั้งแต่ปี 1960 ด้วยการเล่นใหญ่อภิมหาโปรเจ็คต์จัดการแข่งขันไปทั่วทวีปยุโรป 12 เมืองซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นไอเดียของ มิเชล พลาตินี อดีตประธานยูฟ่าได้รับผลกระทบไปด้วย อย่างน้อยก็ฉลองไม่ตรงปีแล้ว อย่างไรแล้วหากลองมองย้อนกลับไปหาแง่ง่ามของฟุตบอลยูโรหนนี้ จะพบว่าแม้มันจะเป็นฟุตบอลยูโรที่ดูจะไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหลักอย่างสถานการณ์การระบาดของโควิด19 ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครรู้เลยว่าต้องสู้กับภาวะแบบนี้ไปอีกนานอีกไหนมันถึงจะสิ้นสุดลง ความซบเซาเหงาเงียบของโลกใบนี้และอะไรอีกหลายอย่างที่ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้การแข่งขันและทุกอย่างยังดำเนินการต่อไปได้ในภาวะสถานการณ์เช่นนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็สามารถแข่งได้และเชื่อว่าเหล่าแฟนบอลที่รอคอยมาเนิ่นนานคงจะมีความรู้สึกหัวใจเต้นตามไปด้วยกับการแข่งขันในรายการนี้อาจพอจะกล่าวได้ว่านี่คืองานฉลองขนาดย่อมของคนยุโรปที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของงานฉลองใหญ่ของคนทั้งโลกซึ่งเราจะได้เห็นหน้าตาของความหวังที่จะสามารถเอาชนะไวรัสตัวร้ายและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข และนี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันฟุตบอลยูโรแบบ New Normal จริงๆ เราลองมาไล่เรียงเรื่องราวแง่มุมที่น่าสนใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมากัน

ฟุตบอลยูโรที่มีจำนวนมากที่สุด
เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 60+1 ปีของฟุตบอลยูโร ยูฟ่าจึงได้ใช้เหตุผลนี้ในการขยายการแข่งขันโดยเพิ่มจำนวนทีมจาก 16 เป็น 24 ทีมด้วยกัน ซึ่งแทบจะใกล้เคียงกับฟุตบอลโลกที่มีจำนวนทีมที่เข้าร่วม 32 ทีม จำนวนทีมที่เพิ่มขึ้นทำให้จำนวนเกมการแข่งขันเพิ่มเป็น 51 นัดด้วยกัน สำหรับคอบอลพันธุ์แท้ก็ถือว่าถูกใจเพราะจะดูกันจนตาแฉะแบบอดหลับอดนอนกันแน่นอน ทั้งนี้ทางยูฟ่ายังใช้เหตุผลของการขยายทีมด้วยว่าเพื่อเปิดโอกาสให้แก่ชาติเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เคยผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายเลยได้มีโอกาสนี้บ้างซึ่งในฟุตบอลยูโรครั้งนี้มี 2 ทีมที่ได้ผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก คือ ประเทศฟินแลนด์และเนอร์ทมาซิโดเนีย สำหรับ 2 ชาตินี้เรียกได้ว่าคือสิ่งที่รอคอยมานานมาก
ฟุตบอลยูโรแบบ Pan-European ครั้งแรก (น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย)
โดยปกติแล้วฟุตบอลยูโรจะมีชาติเจ้าภาพเพียงชาติเดียวหรือหากมีเจ้าภาพร่วม ที่เคยมีมาแค่ 3 ครั้ง คือเนเธอร์แลนด์ –เบลเยี่ยม 2000,ออสเตรีย – สวิตเซอร์แลนด์ 2008 และโปแลนด์-ยูเครน 2012 แต่เพราะครั้งนี้จะมีความยิ่งใหญ่มากกว่าปกติเพราะเป็นการ ฉลองครบรอบ 60 ปีฟุตบอลยูโร2020 คือ การจัดแบบทั่วยุโรป หรือ Pan-European ดังนั้นจึงทำให้การจัดแข่งขันฟุตบอลยูโรในครั้งนี้จะมีเจ้าภาพมากถึง 11 เมือง 11 ประเทศ ซึ่งความจริงควรมี 12 แต่กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยมเป็นหนึ่งในเจ้าภาพด้วยแต่ติดในเรื่องของสนามที่ยังไม่พร้อมจัดแบบมีผู้ชมจึงทำให้ถูกริบสิทธิ์ซึ่ง 11 ประเทศมีที่ไหนบ้าง
1. สตาดิโอ โอลิมปิกโก – โรม อิตาลี 2 . เวมบลีย์ – ลอนดอน อังกฤษ 3. โอลิมปิก สเตเดียม – บากู อาเซอร์ไบจาน 4. เครสตอฟสกี สเตเดียม – เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย 5. ลา การ์ตูฮา – เซบียา สเปน 6. อารีนา เนชันนาลา – บูคาเรสต์ โรมาเนีย 7. โยฮัน ครอยฟ์ อารีนา – อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ 8. แฮมป์เดน ปาร์ค – กลาสโกว์ สกอตแลนด์ 9. พาร์เคน สเตเดียม – โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก 10. ปุสกัส อารีนา – บูดาเปสต์ ฮังการี 11. อลิอันซ์ อารีนา – มิวนิค เยอรมนี

นี่คืองานที่รวมพลซูเปอร์สตาร์ทั่วยุโรป
ถึงแม้ว่าฟุตบอลยูโรนั้นจะมีศักดิ์เป็นรองฟุตบอลโลก แต่ก็เรียกได้ว่ามีทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันกันเกือบทุกชาติหากมีอาร์เจนตินาและบราซิลเข้ามาก็แทบจะเรียกว่าเป็นฟุตบอลโลกได้แล้ว ซึ่งฟุตบอลยูโรครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการรวมซูเปอร์สตาร์ระดับเวิลด์คลาสกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียโน โรนัลโด โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เควิน เดอ บรอยน์ คีลิยัน เอ็มบัปเป และ แฮร์รี่เคน นี่คือ 5 นักเตะระดับซูเปอร์ฮีโร่ของโลกลูกหนังในศึกยูโร2020เลยจริงๆ แน่นอนว่า ต้องเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ทำให้คอบอลทั้งหลายนั้นตื่นตาตื่นใจในระหว่างชมการแข่งขันแน่นอน
เวทีแจ้งเกิดดาวดวงใหม่
ในการแข่งขันฟุตบอลยูโรครั้งนี้นอกจากจะเต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ตัวพ่อกันไปเลย ตัวลูกที่กำลังจะแจ้งเกิดก็มีมาเพียบไม่แพ้กัน และยูโรครั้งนี้รู้สึกได้ว่าจะมีดาวดวงใหม่เกิดขึ้นหลายดวงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ฟิล โฟเดน, เมสัน เมาต์, ดีแคลน ไรซ์, จูดแบลลิงแฮม, ชูลส์ กุนเด, เปดรี, แฟรงกี เดอ ยอง, มัทไทส์ เดอ ลิกต์, บิลลี กิลมัวร์, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก แต่ละคนนั้นมีดีกรีไม่ธรรมดาเลย ซึ่งอาจจะได้กลายเป็นดาวดวงใหม่ที่เฉดฉายให้แฟนๆ ได้รู้จักกันมากขึ้นอีกแน่นอน

ฟุตบอลยูโรแบบ New Normal
เป็นที่ทราบกันว่าการแข่งขันฟุตบอลในทัวร์นาเมนต์นี้มีปัญหาในเรื่องของโรคระบาดไวรัสโควิด19 ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินการแข่งขันด้วยวิถี New Normal มาตรการการป้องกันโรคระบาดของแต่ละประเทศเจ้าภาพยังจำเป็นต้องปฏิบัติตามและเคร่งครัด เช่น หากต้องการจะชมเกมการแข่งขันที่สนามเวมบรีย์ คุณต้องทำการฉีดวัคซีนและมีข้อมูลใน วัคซีนพาสปอร์ต เพื่อเป็นการยืนยันว่าได้ทำการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว และยังต้องมีใบรับรองผลการตรวจหาเชื้อก่อนไปชมเกม 48 ชั่วโมงด้วย ไม่เพียงแต่ผู้ชมที่ต้องปฏิบัติเท่านั้น นักเตะที่จะเข้าร่วมการแข่งขันต้องทำการฉีดวัคซีนป้องกันครบ 2 เข็มแล้วด้วยเหมือนกัน
ฉากสุดท้ายของเหล่านักเตะในตำนาน
แน่นอนว่ามีเข้ามาก็ต้องมีออกไป โดยฟุตบอลยูโรในครั้งนี้จะเป็นยูโรครั้งสุดท้ายสำหรับผู้เล่นจอมเก๋าที่เหล่าแฟนบอลหลายๆ คนรักและคุ้นเคยเห็นหน้าเห็นตากันในสนามแข่งขันมานาน อย่างเช่น ลูกา โมดริช กองกลางที่ดีที่สุดในโลกวัย 35 ปี คงอยู่ถึงฟุตบอลยูโร 2024 ไม่ไหวแล้ว เช่นกันกับเปเป ในวัย 38 ปี ,เซร์คิโอ บุสเกตส์ในวัย 32 ปีก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว รวมไปถึงคาริม เบนเซมาในวัย 33 ปีที่ถูกเรียกกลับมาอย่างเซอร์ไพรส์และโอลิวิเยร์ ชิรูด์ในวัย 34 ปี คนเดียวที่ต้องขอยกเว้นไว้คือ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ปัจจุบันมีอายุ 36 ปีแล้ว แต่ยังคงรักษาสภาพร่างกายและมาตรฐานการเล่นได้แบบไม่มีแผ่วและเชื่อว่าต่อให้เป็นการแข่งขันยูโรในอีก 3 ปีข้างหน้าก็ยังสู้ไหวแน่นอน
More Stories
“โบนัส สโบเบ็ต” คืออะไร มาทำความรู้จักกัน
บ่อนปรับราคาอีกรอ ซีดาน คุมแมนยู
คอนเฟิร์ม! 10 ชาติยุโรปได้ ตั๋วลุยบอลโลก